ค ลัง ย้ำ เ ศรษฐกิ จยังดีอยู่
นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คลัง กล่าวในงานสัมมนาออนไลน์ “THAILAND ECONOMIC MONITOR
เส้นทางสู่การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ” ที่จัดโดยธนาคารโลก (เวิลด์แบงก์) ว่า ปีนี้เริ่มเห็นสัญญาณการฟื้นตัว
ของเศรษฐกิจไทยที่ดีขึ้น โดยเฉพาะจากภาคการส่งออก ในเดือน พ.ค.-มิ.ย. ที่ผ่าน แสดงให้เห็นว่าภาค
การผลิตของไทยยังสามารถดำเนินการได้ขณะที่ภาคการท่องเที่ยว รัฐบาลได้เริ่มโครงการภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์
และโครงการสมุยพลัส ซึ่งเป็นโมเดลในการเปิดประเทศต้อนรับนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามา ภายใต้มาตรการด้าน
สาธารณสุขที่เข้มงวด ถือเป็นมาตรการที่จำเป็น เพื่อสร้างความมั่นใจเรื่องความปลอดภัย
“รัฐบาลมองว่าการส่งออกและการท่องเที่ยวยังเป็นรายได้หลักของประเทศ ดังนั้นการเร่งดำเนินการด้าน
กิจกรรมทางเศรษฐกิจควบคู่กับการป้องกันและรักษาผู้ติดเชื้อในประเทศ ก็เพื่อไม่ให้เศรษฐกิจได้รับผลกระทบ
มากจนเกินไป” นายอาคม กล่าว ทั้งนี้ รัฐบาลได้วาง 4 แนวทางในการฟื้นฟูเศรษฐกิจในระยะถัดไป
ได้แก่ 1. มาตรการช่วยเหลือและเยียวยาในระยะสั้นยังมีความจำเป็น ทั้งมาตรการด้านการเงิน
ผ่านโครงการพักชำระหนี้ การปรับโครงสร้างหนี้ ยังเป็นโครงการที่ต้องทำต่อเนื่องในระยะยาว
แม้ว่าปัจจุบันสถาบันการเงินและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะมีการพักหนี้ให้เป็นเวลา 2 เดือน
แต่เมื่อพิจารณาจากแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่อาจจะไม่ได้เร็วอย่างที่คิด รายได้ของผู้ประกอบการ
อาจจะไม่มีเข้ามาทันทีเพื่อชำระหนี้ได้ ดังนั้นต้องมาติดตามดูว่าการช่วยเหลือด้านการเงินจะสามารถยืดเวลา
ออกไปได้อีกหรือไม่ เพื่อให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีทั้งในและนอกระบบมีลมหายใจต่อชีวิตการทำธุรกิจในระยะ
ถัดไปได้ ส่วนมาตรการด้านการคลังก็ยังดำเนินอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะมาตรการกระตุ้นการบริโภคในระยะสั้น
ถือเป็นมาตรการจำเป็นที่ต้องดำเนินการตั้งแต่ก่อนเศรษฐกิจฟื้นตัว
2. การปรับโครงสร้างเศรษฐกิจเพื่อรองรับการฟื้นตัวอย่างยั่งยืนในระยะยาว
โดยการเน้นโมเดลเศรษฐกิจใหม่ (BCG Economy Model) ภายใต้นโยบายสำคัญ 4 เรื่อง ได้แก่
การพัฒนาด้านโครงสร้างพื้นฐานของประเทศที่จำเป็น มุ่งลดการใช้พลังงาน หรือใช้พลังงานสะอาดมากขึ้น,
การผลักดันดิจิทัลอีโคโนมี เป็นจุดที่จะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันทั้งในภาครัฐและเอกชน,
การเปลี่ยนแปลงสภาวะภูมิอากาศ ด้วยการให้ความสำคัญในการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สู่ชั้นบรรยากาศ
สนับสนุนโครงการรถยนต์ไฟฟ้า (EV) และมุ่งเน้นธุรกิจเฮลแคร์ ซึ่งไทยมีจุดแข็งอย่างมาก
โดยรัฐบาลต้องเข้ามาให้ความสำคัญในเรื่องนี้เพิ่มขึ้น
3. การบริหารนโยบายเศรษฐกิจมหภาคอย่างมีประสิทธิภาพ เพราะในระยะต่อไปภาระภาคการคลังจะมีมากขึ้น
ดังนั้นการปฏิรูปโครงสร้างการจัดเก็บรายได้ของรัฐบาลจึงมีความจำเป็นว่าจะทำอย่างไรให้การจัดเก็บรายได้มีความยั่งยืน
สามารถรองรับวิกฤติต่าง ๆ และไม่กระทบกระเทือนความน่าเชื่อถือของประเทศ และ 4. การให้ความสำคัญกับระบบ
การคุ้มครองทางสังคม ผ่านการมีส่วนร่วมจากทุกฝ่าย ทั้งภาครัฐและประชาชน เพื่อให้ได้รับการคุ้มครองทางสังคมอย่างทั่วถึง
และไม่เป็นภาระค่าใช้จ่ายของภาครัฐมากจนเกินความจำเป็น
นางสาวกุลยา ตันติเตมิท ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) กล่าววว่า การแพร่ระบาดของโควิด-19
ในปัจจุบันทวีความรุนแรงมากขึ้น ดังนั้นมาตรการด้านการคลังในช่วงนี้จึงเน้นช่วยเหลือและลดภาระค่าครองชีพ
ให้ประชาชนอย่างครอบคลุม และรวดเร็วที่สุด โดยจะมี 4 มาตรการสำคัญที่ดำเนินการในช่วงครึ่งหลังของปีนี้
ทั้งมาตรการคนละครึ่ง มาตรการยิ่งใช้ยิ่งได้ มาตรการเติมเงินสวัสดิการแห่งรัฐ มาตรการเติมเงินให้กลุ่มเปราะบางที่ไม่มีสมาร์ทโฟน
เพื่อกระตุ้นและช่วยเหลือด้านกำลังซื้อแก่ประชาชนอย่างครอบคลุม โดยรัฐบาลตั้งเป้า 50 ล้านคน
“ตอนผลักดัน 4 มาตรการนี้ ยังไม่เห็นเรื่องล็อกดาวน์ วัตถุประสงค์ของมาตรการจึงเน้นให้ครอบคลุมคนทุกกลุ่ม
เป้าหมายถึง 50 ล้านคน แต่ปัจจุบันมีเข้าโครงการมาแล้ว 44 ล้านคน แต่พอมีการระบาดของโควิด-19 หนัก ๆ
เข้ามาอีก ก็กระทบตัวเล็กเม็ดเงินที่เดิมคาดว่าจากทั้ง 4 โครงการจะมีเม็ดเงินเข้าระบบ 4 แสนกว่าล้านบาท
ก็อาจจะลดลงเหลือครึ่งหนึ่ง เพราะมีมาตรการล็อกดาวน์
ส่วนที่ถามว่าเมื่อมีล็อกดาวน์แล้วทำไมรัฐบาลไม่ชะลอโครงการไปก่อน อยากชี้แจงว่า มาตรการล็อกดาวน์เข้มข้นแค่ในบางพื้นที่
แต่ส่วนใหญ่ไม่ได้ล็อกดาวน์ ดังนั้นมาตรการก็ยังเดินหน้าต่อไปได้ แต่รัฐบาลไม่ได้เร่ง ดูจากมาตรการที่ยาวไปจนถึงสิ้นปีนี้
และเมื่อสถานการณ์ทุกอย่างเริ่มคลี่คลายไปในทิศทางที่ดีขึ้น เมื่อสัญญาณการฟื้นตัวของเศรษฐกิจกลับมาได้แล้ว
กระทรวงการคลังก็จะเน้นเรื่องการฟื้นฟูอีกครั้ง”
นางสาวกุลยา กล่าวยืนยันว่านโยบายการคลังยังมีช่องว่างให้สามารถดำเนินมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจได้อยู่
โดยเม็ดเงินจากการกู้เงินตาม พ.ร.ก. กู้เงินฉุกเฉิน 1 ล้านล้านบาท ได้ทยอยเบิกจ่ายใกล้ครบแล้ว
และยังมีเม็ดเงินใหม่จาก พ.ร.ก.กู้เงินเพิ่มเติมอีก 5 แสนล้านบาทที่เตรียมพร้อมรองรับสถานการณ์ในระยะถัดไปอีก
ส่วนความจำเป็นต้องกู้เงินเพิ่มเติมหรือไม่นั้น คงต้องดูตามความเหมาะสมและสถานการณ์ทางเศรษฐกิจด้วย
โดยกรณีเลวร้ายหากคลังต้องมีการกู้เงินเพิ่มเติมในสถานการณ์วิกฤติ ก็สามารถขยายเพดานหนี้สาธารณะเพิ่มจาก 60%
ของจีดีพีได้ และในระยะถัดไปก็ต้องกลับมาดูเรื่องการสร้างวินัยทางการคลัง โดยการดำเนินการทั้งหมดต้องควบคู่ไป
กับการกระจายวัคซีนอย่างทั่วถึงและรวดเร็ว ตรงนี้เป็นปัจจัยสำคัญ เพราะการถมเงินไปเรื่อย ๆ
ต้องไปคู่กันทั้งด้านเศรษฐกิจและด้านสาธารณสุข
ขอบคุณที่มา…
ข่ า ว ส ด